กดไม่เหลือซาก…กระหน่ำไม่ต้องสืบ

ต้องบอกว่ามันสะใจกองเชียร์สายฮาร์ดคอร์สุดๆ นะครับ สำหรับเกมฟาดแข้งเมื่อคืนที่ผ่านมาของพลพรรคปีศาจแดง – แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้มันสมองของผู้นำด้านจิตวิญญาณ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

โดยเกมเปิดบ้านเคี้ยวทอฟฟี่สีน้ำเงิน เอฟเวอร์ตัน ในนัดนี้จะเป็นแมทช์ส่งท้ายของ ท่านเซอร์ ก่อนที่จะโดนกักตัวไว้บนอัฒจันทร์ไปอีก 2 นัด และติดไว้ก่อนอีก 2 แมทช์ อันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนโทษฐานที่ ป๋า บังอาจเอื้อมไปด่า สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ผู้ตัดสิน” ว่า “unfit”
และเป็นอีกครั้งที่ป๋าพาทีมคัมแบ็กขึ้นมาจากหลุมได้ทันควัน ภายหลังพาทีมบุกไปพ่ายคู่แข่ง ซึ่งทีมล่าสุดก็คือ เชลซี ด้วยสกอร์ 1-0
“อดีตไม่สำคัญ ปัจจุบันฉันรักเธอ” คือ คติพจน์ของท่านเซอร์เฟอร์กี้ ในวัยหนุ่มกามฉกรรจ์ ก็เพราะอย่างนั้น ป๊ะป๋าจึงได้พยายามกระตุ้นลูกทีมรุ่นหลานให้ใช้ตีนบดขยี้อดีตอันแสนขมขื่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ออกไปให้หมด แล้วมาเริ่มต้นใหม่ด้วยจิตใจอันฮึกเหิม
ด้วยเหตุนี้ กับการกระซวกแข้งในนัดเมื่อคืนที่ผ่านมา เราคงต้องจัดให้เป็นฟอร์มการเล่นอันกระฉูดแตกที่สุดนัดหนึ่งของปีศาจแดงในรอบหลายนัดที่ผ่านมาเลยทีเดียว
สาบาน! ผมรู้สึกว่าเกมจบตั้งแต่นาที 34 หลังลูกวอลเลย์พังประตูที่ส่งประกวดได้ทุกเวทีของ “เทพก็อง” ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ แค่นั้นผมก็มั่นใจแล้วว่าชัยชนะไม่หนีไปไหนแน่ ไม่พักต้องไปคิดถึงสถิติสุดหรูของเจ้าบ้านซึ่งแพ้นัดเดียวจาก 17 นัด ที่ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อลีกสูงสุดมาเป็นพรีเมียร์ ลีก แล้วคู่นี้ต้องมาฉะแข้งกันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด
แม้ในครึ่งหลัง ยาคูบู อเย็คเบนี่ จะลงมาสร้างความปั่นป่วนในกับแนวรับของเจ้าถิ่น แต่ก็ทำได้ดีที่สุดแค่หวาดเสียว เพราะหลังจากที่พลพรรคลูกหลานป๋าแพนด้าไล่กระทุ้งเอาประตูที่ 2 ได้สำเร็จจาก “ลูกเจี๊ยบ” ไมเคิ่ล คาร์ริค ปีศาจแดงก็ยังแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรือเดินเกมรุกโขลกไม่ยั้งหยุด กระทุ้งจะเอาอีกดอกโดยไม่ยอมถอนตีนออกจากคันเร่ง ถึงขนาดที่ เดวิด มอยส์ กุนซือหน้าอีทีของ เอฟเวอร์ตัน คงต้องกลับไปบ่นกับตัวเองว่า “นี้มันไม่ใช่แค่ความพ่ายแพ้ธรรมดา แต่มันคือการระเบิดถังขี้เลยทีเดียว”
อะไรมันจะดุดันขนาดนั้น
ความสำคัญของเกมนี้สำหรับ แมนฯ ยูฯ ก็คือ การทำแต้มขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ไล่เบียดจ่าฝูงฟอร์มแรงอย่าง เชลซี ซึ่งกระถืบหมาป่าเละเทะแบบจำสภาพศพไม่ได้ไป 4-0 เหลือ 5 คะแนน ในขณะที่คู่แข่งรายอื่นเกิดอาการเกียร์สะดุด หลังจาก อาร์เซน่อล พลาดท่าโดนแมวดำตบหน้าแหกไป 1-0 ส่วน ลิเวอร์พูล ก็ต้องเซ่นนักเตะไปอีกสองรายทั้ง ดาเนี่ยล แอกเกอร์ ที่แตกเลือดอาบ และ ไรอัน บาเบิ้ล ที่ถูกปั๊มบอลจนเจ็บ เพียงเพื่อแลกกับผลเสมอคารัง แอนฟิลด์ กับ แมนฯ ซิตี้
ครับ…สำหรับการจัดทัพของ ท่านเซอร์ เฟอร์กี้ เกมนี้ ป๋าได้ปรับระบบมาเป็น 4-4-2 จากเกมล่าสุดที่ใช้ 4-3-3 แล้วโดน เชลซี ทุบไป 1 ดอก ขณะที่ตัวผู้เล่นก็ปรับไป 3 ตำแหน่งด้วยกัน
เริ่มจากแนวรับ ตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก จอนนี่ อีแวนส์ มีอาการบาดเจ็บรบกวน เลยเป็นโอกาสลงสนามของ “เซอร์บิเนเตอร์” เนมานย่า วิดิช ที่ฟิตสมบูรณ์กลับมาลงสนามแทน
ทางด้านแบ็กขวา เป็นหน้าที่ของ ราฟาเอล ดา ซิลวา หลังจากที่ จอห์น โอเชีย ต้องเปลืองพลังงานไปเยอะในแมตช์กับทีมชาติ ขณะที่ แกรี่ เนวิลล์ ติดโทษแบน
ส่วนเกมรุก แอนเดอร์สัน ถูกดร็อปออกไปเพื่อเปิดโอกาสให้ ไมเคิ่ล โอเว่น ลงสนามมาเล่นในระบบหน้าคู่
นอกนั้น ตัวผู้เล่นก็ยังเป็นหน้าเดิมๆ จากเกมที่แล้วทั้งหมด ซึ่งนำทัพมาโดย พ่อของน้องไข่ (Kai Rooney) เวย์น รูนี่ย์ นั้นเอง
อนึ่ง เกมนี้เป็นอีกเกมที่ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ต้องอันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอยทั้งที่เพิ่งสังหารประตูให้กับทีมชาติมา ขณะที่ นานี่ ไม่รู้ว่าเพราะเหนื่อยจากเกมทีมชาติ หรือ เพราะปากมากไปด่าท่านเซอร์ ให้สื่อในประเทศบ้านเกิดฟัง จึงทำให้เกมนี้ไม่มีชื่อแม้กระทั่งตัวสำรอง
ทางด้านทีมเยือน เอฟเวอร์ตัน ปรับทัพในเกมนี้ไปเล็กน้อยตรงตำแหน่งแบ็กขวา เมื่อ โทนี่ ฮิบเบิร์ต ถูกดร็อปออกไปแล้วให้ ลูคัส นีลล์ ลงมาเล่นแทน ที่เหลือก็ยกชุดมาจากเกมที่แล้วที่บุกไปเอาชนะ เวสต์แฮม มา 2-1
แนวรับนำทัพมาโดย ซิลแวง ดิสแต็ง และ แจ็ค ร็อดเวลล์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งที่มีข่าวว่า แมนฯ ยูฯ และ เชลซี จะทุ่มเงิน 20 ล้านปอนด์เป็นค่าไถ่ตัวในเดือนมกราคมนี้ ส่วน ทิม เคฮิลล์ และ มารูยาน เฟลไลนี่ เป็นคู่หูที่คอยขับเคลื่อนเกมรุกช่วยสนับสนุน หลุยส์ ซาฮา ที่ยืนค้ำเป็นกองหน้าตัวเป้า
รูปเกมในครึ่งแรกนั้น เจ้าบ้านเปิดฉากได้ดีเหลือเกิน คุมเกมไว้ได้เกือบจะทั้งหมด นักเตะผีแดงขึ้นมาบีบเกมสูงกดดัน เอฟเวอร์ตัน จนแทบทำอะไรไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอัน
การที่ แมนฯ ยูฯ มี ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ลงสนามในนัดนี้ ทำให้เกมในแดนกลางของผีแดงดูแน่นเป็นอย่างมาก เมื่อบวกกับการที่ทีมเยือนจัดทัพมาเล่นเหมือนต้องการแค่ผลเสมอ จึงส่งผลให้แนวรับของเจ้าถิ่นแทบไม่ต้องออกแรงอะไรกันมากนัก
เมื่อเกมบุกของ เอฟเวอร์ตัน ไม่สามารถสร้างความระคายเคืองให้เป็นที่หวั่งเกรงได้ แมนฯ ยูฯ จึงเดินเกมบุกกดดันหนักขึ้น แต่ทีมเยือนก็ยังต้านลูกโยนจากด้านข้าง และบอลทะลุช่องที่เข้าทำอย่างรวดเร็วของปีศาจแดงเอาไว้ได้ทั้งหมด
ทว่า ความหายนะของ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนี้ก็บังเกิดขึ้นจนได้ จากจังหวะที่ ปาทริซ เอฟร่า โยนบอลเข้ามาจากกราบซ้าย บอลย้อนมาถึง อันโตนิโอ วาเลนเซีย ที่โขกตั้งกลับมาให้ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ เอี้ยวตัววอลเลย์ด้วยขวาส่งบอลพุ่งไปเสียบสามเหลี่ยมอย่างสวยงาม และสะใจกองเชียร์ เร้ด อาร์มี่
พอโดนลูกนี้เข้าไปแทนที่อาคันตุกะจากเมืองลิเวอร์พูล จะเร่งเครื่องกดดันเพื่อเอาประตูคืน กลับกลายเป็นว่าเกมส่วนใหญ่ยังคงตกเป็นของเจ้าบ้าน ขณะที่ศูนย์หน้าตัวความหวังอย่าง หลุยส์ ซาฮา ก็ถูกโดดเดี่ยว และโดน เวส บราวน์ ประกบติดจนกระดิกตัวทำอะไรได้ไม่ค่อยถนัด
ต้องรอจนกระทั่งถึงครึ่งหลังนั้นแหล่ะ เกมของ เอฟเวอร์ตัน จึงจะดีขึ้น หลัง เดวิด มอยส์ แก้เกมด้วยการดึง แดน กอสลิ่ง ที่หายไปจากเกมในครึ่งแรกออก แล้วแทนที่ด้วย อเย็คเบนี่ ยาคูบู พร้อมปรับการเล่นมาใช้หน้าคู่เพื่อกดดันเจ้าบ้าน
หมากเกมนี้ของทีมเยือนทำให้กองเชียร์ปีศาจแดงอึดอัดใจไปบ้าง เพราะ เอฟเวอร์ตัน ได้โอกาสเข้าทำ แมนฯ ยูฯ หลายต่อหลายครั้ง เสียแต่ว่าจังหวะทีเด็ดทีขาดยังไม่คมพอเลยยังไม่ได้ประตู โดยเฉพาะจังหวะที่ ลูคัส นีลล์ เปิดบอลจากกราบขวาให้ ยาคูบู อเย็คเบนี่ พักบอลในเขตโทษก่อนพลิกหนีการประกบของ เวส บราวน์ และยิงด้วยซ้ายเฉี่ยวเสาออกไปนั้นเล่นเอาเด็กผีหลายคนถึงกับใจหาย

ส่วนเจ้าบ้านก็มีโอกาสบวกประตูเพิ่มเรื่อยๆ จากทั้งลูกยิงสะกิดคานของ เวย์น รูนี่ย์ และจาก ไมเคิ่ล โอเว่น ที่ได้หลุดเดี่ยวเข้าไปแตะหลบ ทิม ฮาวเวิร์ด ทว่าด้วยมุมที่เหลือน้อยบวกกับการยิงด้วยเท้าข้างไม่ถนัดจึงทำให้ลูกข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดายโอกาสไปบอลโลก
ที่สุดแล้ว เกมของคู่นี้ก็มาจบลงหลังการได้มาซึ่งประตูที่สองของ แมนฯ ยูฯ ในจังหวะต่อเนื่องจากลูกเตะมุมที่ ไรอัน กิ๊กส์ จ่ายเรียดกลับมาให้ ไมเคิ่ล คาร์ริค ที่ยืนไร้ตัวประกบบริเวณริมกรอบเขตโทษวิ่งเข้ามาอัดด้วยอีซ้ายส่งบอลเสียบเสาสองอย่างเด็ดขาด
แค่นั้นยังไม่พอ เจ้าบ้านยังบุกกดดันอาคันตุกะอย่างต่อเนื่อง และมาได้ประตูปิดท้ายจากลูกยิงไปแฉลบกองหลังของ อันโตนิโอ วาเลนเซีย
แม้ในช่วงท้ายเกม เอฟเวอร์ตัน พยายามจะรักษาหน้าด้วยการไม่แพ้เกมศูนย์ แต่ก็ไม่อาจเจาะแนวรับที่เล่นได้อย่างเหนียวแน่นของ แมนฯ ยูฯ ไปได้ จบเกม เจ้าบ้านจึงถล่มอาคันตุกะไปขาดลอย 3-0 เรียกได้ว่าถ้ากองหน้าผีแดงคมกว่านี้ เอฟเวอร์ตัน คงมีสภาพเละกว่าที่เห็นแน่ เพราะแค่นี้ก็ยังโดนยิงจมกองขี้แบบถ้าไม่ได้ดูก็ไม่ต้องเสียเวลาไปสืบหรอกว่าใครยิงบ้าง เนื่องจากเกมนี้โอกาสยิงของผีแดงเขาเยอะจริงๆ
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเกมนี้ คือ ฟอร์มการเล่นของ ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ที่นับวันจะเล่นได้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ จากที่ในตอนแรกใครหลายคนอาจคิดว่าเขาเป็นลูกเมียน้อยจากสก็อตแลนด์ของท่านเซอร์ หลังการถูกผลักดันให้ลงเล่นอยู่เสมอแม้ไม่มีอะไรดีในตอนนั้น แต่กับตอนนี้เขาได้กลายเป็นคีย์แมนของทีมไปแล้ว เพราะนอกจากความเป็นมืออาชีพ ไม่ได้ลงก็ไม่ว่า แต่กับฝีเท้าที่พัฒนาขึ้นมาอย่างมากจนถึงขนาดถ้าไม่ลงอาจมีคนร้องโหยหา
เห็นแบบนี้อาจเป็นไปได้ว่าตัวแทน รอย คีน ที่เหมาะสมที่สุดอาจเป็น ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ที่อยู่ในทีมแมนฯ ยูฯ ตั้งแต่แรกก็ได้
ที่สุดแล้วเมื่อรวมกับการใกล้จะคัมแบ็กของ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ เช่นนี้ ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่เคยเป็นปัญหาก็อาจจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปก็ได้ และถ้าเดือนมกราคมนี้ ปีศาจแดง ได้อาวุธหนักอย่างพวกศูนย์หน้าคมๆ มาเสริมสักคนก็น่าจะทำให้ทีมมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นอีกเยอะแน่
แต่ก่อนจะไปถึงเดือนมกราคม มาดูผลจากเกมนี้ที่ทำให้ แมนฯ ยูฯ ถีบ อาร์เซน่อล ลงไปอยู่อันดับ 3 แล้วยึดตำแหน่งรองจ่าฝูงมาแทนที่และตามหลัง เชลซี 5 แต้มเท่าเดิม
และต้องไม่ลืมน่ะครับว่าโปรแกรมการแข่งขันจากนี้ไปจนถึงคริสต์มาส รวมทั้งหมด 6 นัด จ่าฝูงอย่าง เชลซี มีเกมหนักที่ต้องไปตัดแต้มกันเองกับ อาร์เซน่อล และนัดถัดไปก็ต้องไปเยือน แมนฯ ซิตี้ รวมทั้งยังต้องเจอ เอฟเวอร์ตัน อีก
ขณะที่ อาร์เซน่อล จะต้องฝ่าด่านอันตรายเริ่มจาก เชลซี ตามด้วย ลิเวอร์พูล และปิดท้ายสิ้นปีด้วยการฟาดแข้งกับ แอสตัน วิลล่า
ส่วน ลิเวอร์พูล ก็มีสิทธิเข้าเบรกไม่ชนะใครต่อไปอีก เพราะนอกจากการเจอกับ แมนฯ ซิตี้ เมื่อคืนแล้ว 3 นัดติดต่อกันหลังจากนี้ พวกเขาต้องทำศึกดาร์บี้แมตช์กับ เอฟเวอร์ตัน ตามด้วยการไปเยือน แบล็กเบิร์น แถมยังต้องเจอกับ อาร์เซน่อล อีก ราฟาเอล เบนิเตซ จะหัวหลุดก็ช่วงนี้แหล่ะ
ทางด้าน แมนฯ ยูฯ นั้น 6 นัดหลังจากนี้ เป็นทีมที่มีเกมยากน้อยที่สุดในบรรดาคู่แข่งคว้าแชมป์ ด้วยกัน เพราะแม้จะมีโปรแกรมเจอ แอสตัน วิลล่า แต่ด้วยสถิติในบ้านที่ข่มกันมิดจึงน่าจะไม่ใช่งานยากมาก อาจจะหืดจับหน่อยก็แค่เกมที่ต้องบุกไปเยือน ฟูแล่ม เท่านั้น ที่เหลือถ้าไม่ประมาทและไม่มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “ผู้ตัดสิน” มาสร้างหายนะ ทีมก็ไม่น่าพลาดเก็บ 3 แต้มได้หมดทุกนัด
บางที ตำแหน่งจ่าฝูงตอนสิ้นปี อาจถึงคราวต้องเปลี่ยนมือก็เป็นได้
MAKIBAO

2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC

Related Posts